การวิจัยแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกการดื้อยาและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อยาหลายขนานในผู้ป่วยวัณโรคปอดเสมหะพบเชื้อทุกราย ที่ขึ้นทะเบียนรักษาในจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึง 30 กันยายน 2549 ผู้ป่วยวัณโรคปอดเสมหะพบเชื้อได้รับการตรวจเสมหะเพาะเชื้อและทดสอบความไวต่อยาของเชื้อวัณโรคก่อนเริ่มการรักษาและรับคำปรึกษาเพื่อตรวจการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจ การบันทึกข้อมูลใช้แบบบันทึกข้อมูลตามมาตรฐานแผนงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติและแบบเฝ้าระวังวัณโรคเชิงรุกแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยและผลการทดสอบดื้อยาโดยสถิติเชิงพรรณาและวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อยาหลายขนานด้วยสถิติ Chi-square และ Odds ratio (OR) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95
ผลการศึกษาพบผู้ป่วยวัณโรคปอดเสมหะพบเชื้อ 2,154 ราย เป็นผู้ป่วยใหม่ร้อยละ 90.34 ตรวจเสมหะเพาะเชื้อ 1,782 ราย พบผลเพาะเชื้อบวกร้อยละ 87.04 มีผลพิสูจน์เชื้อยืนยันวัณโรคและผลทดสอบดื้อยา 1,403 ราย เป็นเพศชาย 982 ราย อายุเฉลี่ย 50.516.4 ปี พบผู้ป่วยที่มีการดื้อยาหลายขนานร้อยละ 3.64 โดยพบการดื้อยาหลายขนานในผู้ป่วยใหม่ร้อยละ 1.49 และพบการดื้อยาหลายขนานในผู้ป่วยที่เคยรักษาวัณโรคร้อยละ 25 อายุของผู้ป่วยที่มีการดื้อยาหลายขนานแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่มีการดื้อยาหลายขนานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.005) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อยาหลายขนานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การติดเชื้อเอชไอวี (OR=2.61, p-value=0.004) ประวัติเคยรักษาวัณโรค (OR=22.04, p<0.001) และขึ้นทะเบียนรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัด (OR=2.75, p-value=0.001) ส่วน เพศ การใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น การเป็นเบาหวานร่วมและภูมิลำเนาไม่มีความสัมพันธ์กับการดื้อยาหลายขนาน ดังนั้นจึงควรจัดระบบการรักษาผู้ป่วยวัณโรคอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยวัณโรคใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาการเกิด MDR-TB และจัดระบบเฝ้าระวังวัณโรคดื้อยาอย่างมีประสิทธิภาพ |