บทคัดย่อ

ชื่อเรื่อง : การเปรียบเทียบความสามารถในการทรงตัวและการล้มในผู้สูงอายุ ที่ออกกำลังกายและไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ
โดย : เยาวราภรณ์ จารุจิตร
ชื่อปริญญา : วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชา : การบริหารบริการสุขภาพ
อาจารย์ที่ปรึกษา : ใจนุช กาญจนภู
คำสำคัญ : การทรงตัว การล้ม การออกกำลังกาย ผลสืบเนื่องจากการล้ม ผู้สูงอายุ คุณภาพชีวิต
   
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional study) เพื่อศึกษาผลของการออกกำลังกายต่อความสามารถในการทรงตัว (balance) อุบัติการณ์ของการล้ม (incidence of fall) ผลสืบเนื่องจากการล้ม (consequences of fall) และคุณภาพชีวิต (quality of life) เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายและไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ อาสาสมัครเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ อายุระหว่าง 60-75 ปี เพศชายและเพศหญิง (n = 120) ที่สนใจเข้าร่วมการวิจัยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดย กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำ (n = 60) แบ่งเป็น เพศชาย 8 คน เพศหญิง 52 คน อายุเฉลี่ย 65.003.90 ปี ซึ่งมีการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ แต่ละครั้งนานไม่น้อยกว่า 30 นาที หรือออกกำลังกายในระดับปานกลางมีค่าคะแนนความเหนื่อย (Borg scale) อยู่ในระดับตั้งแต่ 12 ขึ้นไป หรือรู้สึกเหนื่อยในขณะออกกำลังกาย และต่อเนื่องกันอย่างน้อย 9 เดือนก่อนเข้าร่วมการวิจัย กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ (n = 60) แบ่งเป็น เพศชาย 10 คน เพศหญิง 50 คน อายุเฉลี่ย 65.953.79 ปี โดยไม่มีการออกกำลังกายหรือมีการออกกำลังกายน้อยกว่าเกณฑ์ข้างต้น โดยทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันด้าน อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก และดัชนีมวลกาย ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง อุบัติการณ์การล้มและผลสืบเนื่องจากการล้มในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมารวบรวมโดยใช้แบบสัมภาษณ์ การทรงตัววัดโดยวิธีการทดสอบการทรงตัวของเบิร์ก (Berg Balance Scale) และวิธี Timed Up and Go Test (TUGT) ส่วนคุณภาพชีวิตของอาสาสมัครในรอบ 1 เดือนประเมินโดยการใช้แบบสอบถามวัดคุณภาพชีวิต WHOQOL-BREF-THAI ผลการวิจัยพบว่า อาสาสมัครกลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีความสามารถในการทรงตัวดีกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าคะแนนการทรงตัวของเบิร์กเท่ากับ 55.20 ± 0.81 และ 52.90 ± 2.27 ตามลำดับ (p < 0.001) และเวลาเฉลี่ย TUTG มีค่าเท่ากับ 8.22 ± 1.35 และ 12.65 ± 2.76 วินาที ตามลำดับ (p < 0.001) เมื่อเก็บข้อมูลอุบัติการณ์การล้มของอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม พบว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีอุบัติการณ์การล้มน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ (ร้อยละ 13.3 และ 30.0) และเมื่อเกิดการล้มแล้วอาสาสมัครกลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีผลสืบเนื่องจากการล้มน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทั้งในด้านการบาดเจ็บทางกาย และการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เมื่อสอบถามคุณภาพชีวิตของอาสาสมัครทั้งสองกลุ่ม พบว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีคะแนนคุณภาพชีวิตดีกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยมีคะแนนคุณภาพชีวิตเท่ากับ 99.37 ± 12.77 และ 93.68 ± 14.02 ตามลำดับ (p < 0.05) และเมื่อพิจารณาในองค์ประกอบของคุณภาพชีวิต พบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีคุณภาพชีวิตในองค์ประกอบคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพกาย และด้านสิ่งแวดล้อม ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05, และ p=0.001) จากผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถพัฒนาการทรงตัวของอาสาสมัครให้ดีขึ้น ส่งผลให้อาสาสมัครมีความเชื่อมั่นในการทรงตัวทำให้อุบัติการณ์การล้ม และผลสืบเนื่องจากการล้มลดลง โดยผลสืบเนื่องลดลงทำให้อาสาสมัครสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยตนเอง มีความคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายตัวเอง เดินเองโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมในสังคมได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
   
ปิดหน้าต่างนี้