บทคัดย่อ

ชื่อเรื่อง : ความรู้ ทัศนคติ และความต้องการเลิกบุหรี่ของข้าราชการทหารในค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี
โดย : รัชนีวรรณ พันธุวงษ์
ชื่อปริญญา : วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชา : การบริหารบริการสุขภาพ
อาจารย์ที่ปรึกษา : นัทที พัชราวนิช
คำสำคัญ : ความรู้ ทัศนคติ ความต้องการเลิกบุหรี่ ข้าราชการทหาร ค่ายสรรพสิทธิประสงค์
   
จากการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของข้าราชการในค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า มีผู้สูบบุหรี่จำนวนมากยังเป็นปัญหาในการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการทหารในสังกัดกองทัพบก อันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาศึกษา ความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม การรับรู้สุขภาพและความต้องการเลิกสูบบุหรี่ ของข้าราชการทหาร งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ ศึกษาความรู้ ทัศนคติ และความต้องการเลิกบุหรี่ของข้าราชการทหารในค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้ทฤษฎีกรีนและกรูเตอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการทหารในค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จำนวน 288 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถาม วัดความรู้ ทัศนคติ ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมที่มีผลต่อการสูบบุหรี่ เก็บแบบสอบถามในระหว่างเดือน ตุลาคม พ.ศ.2548 แบบสอบถามได้ผ่านการทดสอบความเชื่อมั่น ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาช (Cronbach’sAlpha coefficient) 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้สถิติT-test และchi-square ผลการศึกษาพบว่า ข้าราชการทหารในค่ายสรรพสิทธิประสงค์ส่วนใหญ่ มีอายุเฉลี่ย 41 – 50 ปี รายได้เฉลี่ย 110,000 – 200,000 บาทต่อปี มีการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษา อยู่ในตำแหน่งผู้ปฏิบัติงาน ระยะเวลาในการสูบบุหรี่ อยู่ในระหว่าง 1 – 10 ปี สาเหตุของการสูบบุหรี่ส่วนมากเกิดจาก อยากทดลอง สูบบุหรี่ทุกวันและสูบตั้งแต่ ครึ่ง ถึง สิบ มวนต่อวัน และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มต้องการเลิกสูบบุหรี่ (ร้อยละ 92 ) มากกว่ากลุ่มไม่ต้องการเลิกบุหรี่ และผลการศึกษาปัจจัยนำด้านความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม การรับรู้สุขภาพ สมาชิกในครอบครัว ปัจจัยเสริมและปัจจัยเอื้อ พบว่า ทั้งสอง กลุ่มมีความรู้เกี่ยวกับบุหรี่น้อย (ตอบผิดมากคิดเป็นร้อยละ 92.8) อย่างไรก็ตาม ระดับการรับรู้ถึงอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพอยู่ในระดับสูงมากทั้งสองกลุ่ม( =3.90, =3.88 ) ในขณะที่ระดับทัศนคติและค่านิยมอยู่ในระดับปานกลาง ( =2.86, =2.94 และ =2.82, =2.83 ตามลำดับ) อิทธิพลจากการสูบบุหรี่ของสมาชิกในครอบครัวมีผลต่อการสูบบุหรี่ของตัวบุคคลอยู่ในระดับปานกลาง ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลคุณลักษณะส่วนบุคคล ความรู้ ทัศนคติ ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม ระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการเลิกและ ไม่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ พบว่า ทั้งสองกลุ่มตัวอย่างไม่มีความแตกต่างกันในข้อมูลและปัจจัยใดเลย ทั้งนี้เพราะ ลักษณะตัวแปรศึกษาทางประชากรของทั้งสองกลุ่มมีความคล้ายคลึงกัน และมีความรู้เกี่ยวกับบุหรี่และการสูบบุหรี่ด้วยคะแนนที่ต่ำเช่นเดียวกัน อีกทั้งการรับรู้ด้านสุขภาพก็คล้ายคลึงกัน คือ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เลิกสูบบุหรี่ แต่ทั้งสองกลุ่มมีความเห็นตรงกันว่า หากมีความตั้งใจ แน่วแน่และมีจิตใจที่เข็มแข็งจะสามารถทำให้เลิกบุหรี่ได้ ส่วนความคิดเห็นด้านทัศนคติ พบว่า การรณรงค์เพื่อเลิกบุหรี่เป็นวิธีที่ควรนำมาใช้มากกว่าการบังคับให้เลิก โดยมีค่าคะแนนอยู่ในระดับสูงมากทั้งสองกลุ่ม ( =4.09, =4.03) และโดยรวมมีความเห็นว่าการสูบบุหรี่มักเกิดตามสถานเริงรมย์ในเวลากลางคืน จึงเห็นควรสร้างค่านิยมลดการเที่ยวกลางคืนในกลุ่มข่าราชการทหาร จากการศึกษาด้านปัจจัยเสริม พบว่า ข้าราชการทหารเคยได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับกฎระเบียบของโรงพยาบาลในการห้ามสูบบุหรี่อยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งน่าจะได้นำไปใช้เป็นกฎระเบียบห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่ทำงาน และเมื่อพิจารณาปัจจัยเอื้อ พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีความเห็นตรงกันว่า การมีเวลาว่างจากการปฏิบัติงานประจำเป็นเหตุให้มีการสูบบุหรี่มากขึ้น ดังนั้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพหรือการออกกำลังกายในช่วงว่างจากการทำงานน่าจะเหมาะสมในการรณรงค์ให้ข้าราชการทหารลด หรือ เลิกสูบบุหรี่ได้
   
ปิดหน้าต่างนี้